พระใหม่พลาซ่า


พระใหม่

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วัตถุมงคลจตุคามรามเทพ รุ่น "จอมจักรพรรดิ"

 วัตถุมงคลจตุคามรามเทพ รุ่น "จอมจักรพรรดิ"



พิธีกรรม เผาดวงชะตาเมือง ทำพิธีที่ป่าช้าวัดชะเมา ตำบลท่าวัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการล้างอาถรรพ์ดวงชะตาเมืองเดิม ซึ่งเรียกว่า ดวงราหูชิงจันทร์ หรือดวงพินธุบาทว์ ลักษณะดวงดาวเสาร์ ซึ่งเป็นดาวภัยเล็งจุดกำเนิด วางดาวอังคารให้อยู่ในภพที่ห้า เจ้าของดวงชะตาเช่นนี้เหมือนถูกสาป อาภัพอัปภาคย์ บ้านแตกสาแหรกขาด ต้องโทษทัณฑ์ไม่หยุดหย่อน เดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด บ้านเมืองเจริญอยู่ได้ไม่นานก็ต้องเสื่อมทรามตกต่ำลง การเผาดวงชะตาเมืองในครั้งนี้ ใช้ เพชฌฆาตฤกษ์ คือ เลยเที่ยงคืนไป 1 นาที ของปลายปี พ.ศ. 2528

และพิธีกรรมพลิกธรณี ทำพิธีที่ริมรั้วป่าช้าวัดชะเมา พลิกดินที่ชั่วร้ายสกปรกฝังไว้เบื้องล่าง เอาดินดีขึ้นมาไว้เบื้องบน เพื่อบ้านเมืองจะมีความร่มเย็นเป็นสุข เจริญรุ่งเรืองต่อไปในวันข้างหน้า

วัดชะเมาจึงเป็นสถานที่หนึ่ง ที่มีความผูกพันในการสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพมาแต่แรก

ขณะ นี้ทางวัดชะเมาได้จัดสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพขึ้น รุ่น "จอมจักรพรรดิ" ได้ทำพิธีเททองปฐมฤกษ์ไปเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ณ มณฑลพิธีวัดชะเมา และจะทำพิธีพุทธาภิเษกในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2550 ณ มณฑลพิธีศาลหลักเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช

วัตถุมงคลที่จัดสร้างขึ้น ประกอบด้วย พระพุทธสิหงิค์บูชา, องค์จตุคามรอบหลักเมือง, องค์จตุคามปางสมาธินาคปรก, องค์จตุคามปางมหาราชลีลา, องค์จตุคามปางประทานพร,องค์จตุคามปางอิทธิฤทธิ์, ซึ่งมี 3 ขนาด คือ ขนาดกว้าง 5 นิ้ว, 2 นิ้ว และขนาดคล้องบูชากว้าง 2 เซนติเมตร และดวงตราจตุคามรามเทพ ขนาดกว้าง 5 เซนติเมตร มีทั้งเนื้อขาว เนื้อดำ เนื้อไม้ และแบบปิดทองคำแท้.

บทความน่าสนใจ:หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พระศรีอริยเมตไตรย วัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ

พระศรีอริยเมตไตรย วัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ



"หลวงพ่อโต" หรือ "พระศรีอริยเมตไตรย" พระพุทธปฏิมากรยืนปางอุ้มบาตร วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพมหานคร ซึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2410

ก่อด้วยอิฐถือปูน หากดำเนินการการก่อสร้างไปได้เพียงครึ่งองค์ สูงเพียงพระนาภี (สะดือ) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ก็สิ้นชีพิตักษัย ณ ศาลาใหญ่วัดบางขุนพรหมใน

เป็นพระยืนอุ้มบาตรที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าท่านได้สอนยืนและเดินได้ที่นั่น

ต่อมา พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร) ซึ่งร่วมสร้างหลวงพ่อโตกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) มาแต่ต้น ได้ดำเนินการก่อสร้างต่อมาจนถึงปี พ.ศ. 2463 พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร) มีอายุ 91 ปี พรรษาที่ 70 ชราภาพมากแล้ว จึงได้ยกขึ้นเป็นกิตติมศักดิ์ ท่านจึงมอบฉันทะให้พระครูสังฆบริบาล (แดง) แห่งวัดบวรนิเวศ ช่วยบูรณปฏิสังขรณ์ต่อจากเดิม ซึ่งพระครูกัลยานุกูล (เฮง อิฏฐาจาโร) ได้เขียนไว้เกี่ยวกับการก่อสร้าง ซึ่งมีปรากฏในจารึกศิลาว่า

"ศุภมัสดุพระพุทธศาสนกาลล่วงแล้วได้ 2463 ปีวอก โทศก (จ.ศ.1282) พระครูสังฆบริบาล (แดง) ได้ลงมือทำการปฏิสังขรณ์เมื่อเดือน 11 ณ วันพฤหัสบดี แรม 1 ค่ำ ประวัติเดิมของพระครูสังฆบริบาล อุปสมบทที่แขวงตะนาว เมื่ออุปสมบทแล้วได้มาสร้างวัดเข่ชั้นบันไดที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วได้มาศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัย ณ สำนักวัดบวรนิเวศ ในบารมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 5 พรรษา เมื่อเสด็จสิ้นพระชนม์ จึงได้มาทำการปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปองค์โตนี้ พร้อมด้วยเจ้าฟ้า ทายก ทายิกา ราษฎร จนถึงกาลบัดนี้สิ้นเงินรายได้รายจ่ายในการปฏิสังขรณ์ 5 หมื่นเศษ"

หากดำเนินก่อสร้างสำเร็จเพียงบางส่วนเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2467 พระครูสังฆรักษ์ (เงิน อินฺทสโร) ภายหลังได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ "พระอินทรสมาจาร" ได้ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2470 และได้จัดให้มีงานสมโภชเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 4-6 มีนาคม พ.ศ. 2471 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เสด็จมาทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ เสด็จมาทรงเป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ เปิดงานสมโภชองค์หลวงพ่อโต

ในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร ปี พ.ศ. 2490" ได้กล่าวถึงการปฏิสังขรณ์องค์หลวงพ่อโต ของพระอินทรสมาจาร (เงิน อินฺทสโร) ไว้ว่า

"ถึงปีชวด พ.ศ. 2467 พระครูอินทรสมาจาร (เงิน อินฺทสโร) เมื่อเป็นพระครูสังฆรักษ์ย้ายมาจากวัดปรินายกมาเป็นเจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร ได้จัดการสร้างพระโตต่อมา โดยเป็นประธานบอกบุญเรี่ยไรจากประชาชนทั่วไป ผู้ช่วยเหลือที่เป็นกำลังสำคัญของท่านพระครูอินทรสมาจารที่ควรกล่าวให้ปรากฏคือ เจ้าคุณและคุณหญิงปริมาณสินสมรรถ พระประสานอักษรกิจ สิบเอกอินทร์ พันธุเสนา และนางพลัด พันธุเสนา พระครูอินทรสมาจาร ทำการก่อสร้างอยู่ 4 ปี จึงสำเร็จสมบูรณ์ (สิ้นเงินประมาณ 10,000 บาท)"

พระศรีอริยเมตไตรย(จบ) วัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ

อย่าง ไรก็ตาม ภายหลังได้มีการปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมคือ ปีพ.ศ. 2481 ได้ทำประภามณฑล (พระรัศมี) ประดับองค์หลวงพ่อโต และประดับกระเบื้องโมเสกทองคำ 24 เค ที่พระพักตร์ พระเศียร และพระหัตถ์ และได้เปลี่ยนโมเสกใหม่อีกครั้งเมื่อปีพ.ศ. 2509 เนื่องจากของเดิมหมองคล้ำและชำรุด

พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีอัญเชิญโมเสกทองคำขึ้นประดับเป็นรูปอุณาโลม ณ พระนลาฏองค์หลวงพ่อโต

พ.ศ. 2521 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จแทนพระองค์ทรงประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นสถิต ณ ยอดพระเกศองค์หลวงพ่อโต และทรงปลูกหน่อพระศรีมหาโพธิ์

อย่างไรก็ตามต่อมามีการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์หลวงพ่อโตตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

กล่าวสำหรับวัตถุมงคลที่เกี่ยวเนื่องด้วย "หลวงพ่อโต" ที่พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร) ที่สร้างขึ้นเป็นพิมพ์หนึ่งในจำนวนหลากหลายพิมพ์ของหลวงปู่ภู เป็นพระเครื่องเนื้อปูนปั้นผสมผง ที่กล่าวกันว่ามีส่วนผสมของผงวิเศษของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ผสมอยู่ด้วย จึงกล่าวได้ว่า พระเครื่องของหลวงปู่ภูใช้แทนพระสมเด็จฯ ได้เป็นอย่างดี

พระเครื่องพิมพ์อุ้มบาตร มีพุทธลักษณะทรงห้าเหลี่ยม องค์พระปฏิมากรประทับยืนบนอาสนะบัว ภายในซุ้มกรอบ 5 เหลี่ยม ด้านหลังองค์พระเครื่องเรียบปราศจากอักขระใดๆ

อย่างไรก็ตาม มีเหรียญปั๊ม "พระศรีอริยเมตไตรย" ที่น่าสนใจยิ่งของพระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร) ซึ่งมีความเป็นมาคือ เมื่อปีพ.ศ. 2467 ที่พระอินทรสมาจารย์ (เงิน อินฺทสโร) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูสังฆรักษ์ ทำการก่อสร้างพระศรีอริยเมตไตรย์ "หลวงพ่อโต" สืบต่อจากที่คั่งค้างอยู่ เป็นเวลา 4 ปีจึงแล้วเสร็จ
และมีงานสมโภชเมื่อวันที่ 4-6 มีนาคม พ.ศ. 2471 ถึงปีมะเส็ง พ.ศ. 2472 ทางวัดได้จัดให้มีงานนมัสการและปิดทองพระโตในเดือนมีนาคม และกำหนดเป็นเทศกาลประจำปีสืบมา ต่อเมื่อปี พ.ศ. 2521 ภายหลังอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุสถิต ณ ยอดพระเกศองค์ "หลวงพ่อโต" การจัดงานประจำปีจึงเปลี่ยนไปเป็นงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และปิดทองหลวงพ่อโต

สันนิษฐานว่าในการสมโภชเมื่อปีพ.ศ. 2471 นั้น ได้มีการสร้าง "เหรียญพระเครื่อง" ขึ้นมาด้วย ซึ่งเป็นที่เชื่อถือกันว่า เป็นเหรียญที่สร้างขึ้นทันในช่วงพระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร) ยังมีชีวิตอยู่ และต้องร่วมปลุกเสกด้วยอย่างแน่นอน

เหรียญรุ่นดังกล่าวนี้ มีด้วยกัน 2 แบบพิมพ์ เป็นเหรียญปั๊มรูปเสมา มีหูในตัว เนื้อเงิน เนื้ออัลปาก้า และเนื้อทองแดง

แบบ แรกนั้น ด้านหน้าเป็นรูปจำลองพระศรีอริยเมตไตรย "หลวงพ่อโต" ประทับยืนปางอุ้มบาตร บนอาสนะฐานบัวคว่ำบัวหงาย ขอบเหรียญแกะเป็นลวดลายกระหนกสวยงาม ด้านหลังพื้นเหรียญเรียบ ปรากฏข้อความอักษร 3 บรรทัด ว่า

"พระศรีอารย์ ยืนโปรดสัตว์ วัดอินทรวิหาร"

ประทับยืนปางอุ้มบาตรบนฐานอาสนะบัวหงายภายใต้ฉัตร 7 ชั้น ขอบเหรียญแกะลวดลายสวยงาม ด้านหลังพื้นเรียบ มีข้อความอักษร 5 บรรทัด ว่า

"พระศรีอารย์ ยืนโปรดสัตว์ ให้พ้นทุกข์ วัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ"

เป็นเหรียญเก่าอันน่าเก็บสะสมในทำเนียบ "เหรียญพระพุทธ"
ที่มา:ข่าวสด
เหรียญที่ร้อนแรงที่สุด : หลวงพ่อสาคร เสมา6รอบ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

นางกวัก"กวักเงินกวักทอง

ประวัติพุทธสาวก นางกวัก กวักเงินกวักทอง

พระเกจิอาจารย์และผู้มีวิชาอาคม ได้รวบรวมมวลสาร ดิน ว่าน ผง โลหะ ไม้ที่เป็นมงคลนำมาจัดสร้าง หล่อ แกะ เป็นรูปนางกวัก และนำพระคาถาบรรจุลง เพื่อให้ผู้ที่นำไปบูชาเกิดโชคลาภ ค้าขายเจริญรุ่งเรือง และทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นางกวักเป็นเทพีแห่งโชคลาภ มีไว้บูชาทำให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง ทรัพย์สินเงินทองหลั่งไหลมามากมาย ชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย วันนี้จะพูดของเรื่องที่มาที่ไป ตำนาน ของนางกวัก

"นางกวัก" นับเป็นรูปเคารพนับถือกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในมวลหมู่ผู้มีอาชีพค้าขายทั้งหลาย ด้วยเชื่อว่านามของนางกวัก มีความหมายในทางทำมาหากินคล่องเจริญก้าวหน้า ตามร้านค้าจึงพบเห็นรูปนางกวักบนหิ้งบูชา หรือแม้กระทั่งรถเข็นค้าขาย ในตะกร้าเก็บสตางค์ หรือมุมเล็กๆ ต้องมีรูปนางกวักอยู่ด้วยเสมอ



 "นางกวัก" ตามประวัติพุทธสาวกในพระพุทธศาสนาว่า สมัยพุทธกาลที่เมืองมิจฉิกาสีณฑนคร อยู่ไม่ไกลนักจากเมืองสาวัตถี มีครอบครัวหนึ่งประกอบอาชีพซื้อขายสินค้าต่างๆ เลี้ยงชีพ สองสามีภรรยามีลูกสาวคนหนึ่งชื่อ "สุภาวดี" ต่อมาสุจิตตพราหมณ์ผู้เป็นพ่อ ได้ขยายกิจการซื้อเกวียนมา 1 เล่ม นำสินค้าไปเร่ขายในต่างถิ่น บางครั้งบุตรสาวขออนุญาตเดินทางไปด้วย เพื่อเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ การไปค้าขายกับบิดานี่เอง ณ จุดพักขายสินค้า ทำให้สุภาวดีได้มีโอกาสพบกับ "พระกัสสปเถระเจ้า" เป็นอริยสงฆ์แสดงธรรม หลังจากสุภาวดีฟังธรรมเทศนาอย่างตั้งใจแล้ว พระกัสสปเถระเจ้าได้กำหนดจิตเป็นอำนาจจิตพระอรหันต์ ประสิทธิ์ประสาทพรให้สุภาวดีและครอบครัว โดยได้ตั้งกุศลจิตประสาทพรเช่นนี้ทุกครั้งที่สุภาวดีมีโอกาสไปฟังจนจบ อำลากลับ

เมื่อสุภาวดีติดตามบิดาไปค้าขายยังเมืองอื่น ด้วยกุศลบารมีบันดาลให้สุภาวดีได้มีโอกาสฟังธรรมพระอริยสงฆ์อีกท่านหนึ่ง นามว่า "พระสิวลีเถระเจ้า" ในถิ่นที่บิดานำสินค้าไปขาย การได้ฟังธรรมอย่างตั้งใจ สุภาวดีจึงมีความรู้แตกฉานในหลักธรรมต่างๆ เป็นอันมาก พระสิวลีเป็นผู้มีชีวิตอัศจรรย์กว่าพระสงฆ์อื่น คือ ท่านอยู่ในครรภ์มารดานานถึง 7 ปี 7 เดือน จึงคลอดออกมา พร้อมด้วยวาสนา บารมี ที่ติดกับวิญญาณธาตุของท่าน

ท่านจึงเป็นผู้มีลาภสักการบูชามาหาท่านตลอด เมื่อถึงคราวจำเป็นและต้องการ ทุกครั้งที่สุภาวดีได้ฟังธรรมและลากลับ พระสิวลีเถระเจ้าได้กำหนดกุศลจิต ประสาทพรให้สุภาวดีและครอบครัว เช่นเดียวกัน จิตของสุภาวดีจึงได้รับประสาทพรจากพระอรหันต์ถึงสององค์ ส่งผลให้บิดาทำการค้าได้กำไรไม่เคยขาดทุน

บิดารู้ว่าสุภาวดีคือผู้ที่เป็นสิริมงคลที่แท้จริง เป็นที่ไหลมาแห่งทรัพย์สมบัติของครอบครัว เวลาผ่านไปไม่นาน ครอบครัวร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีมีเงินทองและกองเกวียนสินค้ามากมาย เทียบได้กับธนัญชัยเศรษฐี บิดาของวิสาขาแห่งแคว้นโกศล เมื่อร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแล้ว บิดาของสุภาวดีได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมด้วยความศรัทธา